วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Jason Mraz

ทำความรู้จักกับ Jason Mraz


                  เป็นศิลปินชื่อดังอีกคนที่มีผลงานเพลง ที่ผสมผสาน ผ่านดนตรีหลากหลายสไตล์ วิธีการร้องและเล่นอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ที่สุดของ Jason Mraz คือ การผสมผสานดนตรีหลากหลายไสตล์ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่ทำให้ผู้คนมากมายทั่วโลกต่างสนใจในผลงานเพลงของเขา Jason Mraz ได้นำดนตรีในแบบ Reggae, Pop, Rock, Folk, Jazz, Bossa Nova และ Hip hop มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวไม่มีใครจะปฏิเสธว่า "Jason Mraz" เป็นศิลปินคนหนึ่ง ที่สามารถดังเกาะกระแสข้าม (หลาย) ปี อย่างยาวนาน จนถึงปี 2011 นี้ ก็ยังมีคนชอบฟังเพลงของเขาอยู่ 
                 สิ่งหนึ่งที่ทำให้ "Jason Mraz" ดังเป็นพลุแตก ไปพร้อมๆ กับเพลงของเขา มาจากสไตล์เพลง ซึ่งดูจะแตกต่างจากแนวเพลงอื่นๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน รวมถึงลีลาการร้อง และการแสดงบนเวทีของ Jason Mraz ก็มีส่วนอยู่มากทีเดียว สำหรับบนเวทีแล้ว Jason Mraz ถือเป็น Entertainer คนหนึ่ง ที่ทำให้การแสดงของเขาดูน่าสนใจ ผู้ชมล้วนมีความสุขไปกับโชว์ของ Jason Marz หากจะหยิบเพลงหนึ่งเพลงใดมาพูด คงไม่สามารถปฏิเสธว่า เพลง I'm Yours ดังเป็นพลุแตกจริงๆ โดยเฉพาะในบ้านเรา อีกทั้งบทเพลง "I'm Your" ช่วยทำให้วงการดนตรีอะคูสติกกลับมาครึกคักไปทั่วโลกอีกครั้ง สำหรับผู้เขียนแล้ว I'm Yours ถือเป็นเสมือน "เพลงประจำชาติ" ของ Jason Mraz เลยทีเดียว แต่ใช่ว่าจะมีแต่ I'm Yours ที่เป็นเพลงชั้นยอด ยังมีอีกหลายเพลงในแทบทุกๆอัลบั้ม ที่มีความไพเราะ และน่าสนใจเป็นอย่างมาก เรามารู้จักกับผู้ชายคนนี้ "Jason Mraz" ยอดอัจฉริยะแห่งดนตรียุคใหม่ 


                 Jason Mraz เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 1977 ในอเมริกา เมืองแมคคานิกส์วิลล์ (Mechanicsville) ในรัฐเวอร์จิเนีย (Virginia) ชีวิตของ Jason Mraz ไม่ค่อยสู่ดีนักในวัยเด็ก เหตุจากพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เขามีอายุเพียง 4 ขวบ! Jason Mraz เข้าเรียนในโรงเรียน Lee Divs High school ในช่วงจังหวะนี้เอง เขาได้เข้าร่วมกับคณะประสานเสียง และละครเวทีใน Lee Divs School ด้วยพรสววรค์ทางด้านการร้องเพลง ตอนที่เขามีอายุประมาณ 13 ขวบ เขามีโอกาสเข้าไปร่วมร้องเพลงกับวง R&B ซึ่งเป็นการร่วมตัวกันของเด็กวัยรุ่น ในวัยใกล้เคียงกัน เป็นวงดนตรีท้องถิ่น ชื่อวง Dressed To Kill และตรงนี้เองที่ทำให้เขาเริ่มค้นพบ สิ่งที่เขารัก และอยากทำมันแบบจริงๆ จังๆ
                    เขามุ่งหน้าเข้าเรียนในนิวยอร์ก (New York) ในระดับการอุดมศึกษา สาขา Musical Theatre โดยเริ่มหัดเล่นกีต้าร์แบบจริงๆ จังๆ ด้วยความมุ่งมั่นตามความฝันของตนเอง ที่ต้องการเป็นนักแต่งเพลง นักร้อง และเล่นดนตรีอาชีพ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม ในปี 1995, Jason Mraz เข้าร่วมกับวง American Academy ในนครนิวยอร์ก เป็นเวลาสั้น ๆ ในการฝึกฝนทักษะทางด้านดนตรี, ไม่นานนักก็หยุดตัวเองเพื่อมุ่งมั่นกับการเล่นกีต้าร์ และการแต่งเพลง ต่อมา Jason Mraz ได้ย้ายไปยัง San Diego, California เพื่อตามความฝันของตนเอง อีกครั้ง Jason Mraz มีโอกาสร้องเพลงใน Pub แห่งหนึ่ง ชื่อ Java Joe’s ด้วยการแสดงบนเวทีและท่วงทำนองเพลงที่สนุก มีแบบฉบับของตัวเอง จากคนดูไม่กี่คน ก็กลายเป็นคนดูเต็มร้านภายในระยะเวลาไม่สัปดาห์ ที่นี่ Jason Marz ได้พบกับนักร้อง นัก Percussion ชื่อ "โทค่า" (Noel “Toca” Rivera) ทั้งคู่ร่วมกันทำวงและเล่นคู่กัน Mraz และ Toca จึงมีโอกาสไปเล่นตามพับอื่นๆ ในย่านแอลเอ(L.A) นอก Toca จากจะเล่น Percussion ได้ดีแล้ว เขายังมีความสามารถในการร้องเสียงประสานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทั้งสองคนมุ่งมั่น และจริงจังกับการทำเพลงมากขึ้น โดยมองไปถึงขั้นการทำอัลบั้มร่วมกัน ระหว่างนั้น Marz และ Toca ได้ทำเดโมอัลบั้มชื่อ "Live at Java Joe's" มีเพลงเด็ดๆ อย่าง You and I Both, 1000 Things ซึ่งได้มีโอกาสเปิดผ่านรายการวิทยุใน San Diego ด้วย หลังจากโชว์ของเขาทั้งคู่โด่งดังไปชนิดปากต่อปาก ไม่นานนัก... ก็มีแมวมองจากสังกัดค่าย "Elektra Records" ซึ่งได้มีโอกาสมาฟังการแสดงของเขาทั้งคู่ หลังการแสดงในคืนหนึ่งจบลง ทั้งสองถูก Elektra Rocord จับมาร่วมเซ็นสัญญาเพื่อออกอัลบั้ม ในปี 2002 "Waiting for My Rocket to Come" อัลบั้มแรกของ Jason Mraz ภายใต้สังกัด Elextra Rocords โดยได้ John Alagia โปรดิวเซอร์มือดีที่เคยทำงานอัลบั้มอันโด่งดังให้กับ "Dave Matthews Band" และ "John Mayer" มาก่อนหน้านี้ มาช่วยดูแลอัลบั้มให้

               อัลบั้ม "Waiting for My Rocket to Come" ถูกวางจำหน่ายในปลายปี 2002 แนวเพลงไปทาง Pop Rock และ Alternative Rock โดยใส่ซาวนด์อะคูสติกลงไปด้วย ทำให้มีกลิ่น Folkmusic ฟังดูมีเสน่ห์ และแตกต่างจากเพลงอื่นๆ ในช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะตลาดเพลงอเมริกันทั่วไป

               เข้าสู่ปี 2003 Jason Mraz เข้า Studio อีกครั้ง เพื่อออกผลงานอัลบั้มที่สอง "Mr. A-Z" นักวิจารณ์ทั่วโลกต่างวิจารณ์เพลงของ Jason Mraz ว่า เป็นการผสมผสานแนวเพลง ในแบบหลากหลายสไตล์ ได้อย่างลงตัว เทคนิคการร้องแบบผสมผสาน ทั้งโฟล์ค ป๊อป ร็อก และฮิปฮอป ถือเป็นความโดดเด่นของ Jason Mraz ที่ไม่เหมือนใคร ในจังหวะนี้ เขามีโอกาสเข้าสังกัดใหม่ "Atlantic Records" ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ โดยหลังจับมือเซ็นสัญญา Jason Mraz ได้ออกอัลบั้ม "Mr. A-Z" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สอง โดยมีเพลง "Wordplay" เป็นซิงเกิ้ลแรก และเพลง "Geek in The Pink" เป็นชิงเกิ้ลต่อมา เรียกว่า สองเพลงนี้ได้รับเสียงตอบรับได้ดีมากทีเดียว



               ในปี 2008 กับอัลบั้ม "We Sing. We Dance. We Steal Things" ที่ถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดในผลงานเพลงของ Jason Mraz หลังจากเข้าสตูดิโอ เขาได้แยกเพลงต่างๆ ในอัลบั้มนี้ออกเพื่อวางจำหน่าย เป็นเพลงอะคูสติก 3 ชุด คือ "We sing" ออกจำหน่าย 18 มีนาคม, "We dance" ออกจำหน่าย 15 เมษายน และ "We steal things ออกวางจำหน่ายพร้อมกับอัลบั้มเต็มในวันที่ 13 พฤษภาคม
                อัลบั้ม "We Sing. We Dance. We Steal Things" ถือเป็นการพัฒนาการทางดนตรีอีกขั้นของ Jason Mraz มีการนำเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดมาผสมผสานกัน เพิ่มเสน์ห์ความน่าสนใจให้กับบทเพลง และอัลบั้มนี้ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง มากขึ้น ด้วยเพลงเอก ที่โด่งดัง รู้จักและร้องตามกันได้ไปทั่วโลก "I'm Your" และไม่นานนักเพลงหวานๆ อย่าง "Lucky" ก็ดังตามมาติดๆ การได้สาวสวยเสียงดีอย่าง Colbie Caillait มาร่วมร้องเพลง Lucky ช่วยทำให้เพลงนี้ดูมีเสน่ห์ และไพเราะมากขึ้นทีเดียว นอกจากได้ Colbie Caillait มา featuring ให้แล้ว อัลบั้มนี้ยังได้ Martin Terefe โพรดิวเซอร์ที่เคยร่วมงานกับวง "Coldplay" และ "James Morrison" มาแจมอีกด้วย 

                ถึงปี 2010 อัลบั้ม "We Sing. We Dance. We Steal Things" มียอดขายรวม 1,491,736 แผ่นในสหรัฐอเมริกา ได้รับการรับรองโดย RIAA Platinum, ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มเต็มคือเพลง "I'm Yours" ที่สามารถขึ้นสูงสุดถึงอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100

                ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า เพลง "I'm Yours" ได้สร้างชื่อเสียงให้กับ Jason Mraz ชนิดเรียกว่าดังเป็นพลุแตก ร้องได้กันทั่วโลก แถมถูกตั้งฉายาว่า เป็นเพลงประจำชาติของ Jason Mraz ซึ่งเราเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพลงแนะนำสำหรับอัลบั้ม "We Sing. We Dance. We Steal Things" "I'm Yours" "Make it Mine" "Lucky" "Butterfly" และ "Live High" เป็นต้น จึงเป็นที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่งว่า อัลบั้มต่อไปของ Jason Mraz จะเป็นอย่างไร  น่าลุ้นกันต่อไปค่ะ ^^




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น