วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Jason Mraz

ทำความรู้จักกับ Jason Mraz


                  เป็นศิลปินชื่อดังอีกคนที่มีผลงานเพลง ที่ผสมผสาน ผ่านดนตรีหลากหลายสไตล์ วิธีการร้องและเล่นอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ที่สุดของ Jason Mraz คือ การผสมผสานดนตรีหลากหลายไสตล์ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่ทำให้ผู้คนมากมายทั่วโลกต่างสนใจในผลงานเพลงของเขา Jason Mraz ได้นำดนตรีในแบบ Reggae, Pop, Rock, Folk, Jazz, Bossa Nova และ Hip hop มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวไม่มีใครจะปฏิเสธว่า "Jason Mraz" เป็นศิลปินคนหนึ่ง ที่สามารถดังเกาะกระแสข้าม (หลาย) ปี อย่างยาวนาน จนถึงปี 2011 นี้ ก็ยังมีคนชอบฟังเพลงของเขาอยู่ 
                 สิ่งหนึ่งที่ทำให้ "Jason Mraz" ดังเป็นพลุแตก ไปพร้อมๆ กับเพลงของเขา มาจากสไตล์เพลง ซึ่งดูจะแตกต่างจากแนวเพลงอื่นๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน รวมถึงลีลาการร้อง และการแสดงบนเวทีของ Jason Mraz ก็มีส่วนอยู่มากทีเดียว สำหรับบนเวทีแล้ว Jason Mraz ถือเป็น Entertainer คนหนึ่ง ที่ทำให้การแสดงของเขาดูน่าสนใจ ผู้ชมล้วนมีความสุขไปกับโชว์ของ Jason Marz หากจะหยิบเพลงหนึ่งเพลงใดมาพูด คงไม่สามารถปฏิเสธว่า เพลง I'm Yours ดังเป็นพลุแตกจริงๆ โดยเฉพาะในบ้านเรา อีกทั้งบทเพลง "I'm Your" ช่วยทำให้วงการดนตรีอะคูสติกกลับมาครึกคักไปทั่วโลกอีกครั้ง สำหรับผู้เขียนแล้ว I'm Yours ถือเป็นเสมือน "เพลงประจำชาติ" ของ Jason Mraz เลยทีเดียว แต่ใช่ว่าจะมีแต่ I'm Yours ที่เป็นเพลงชั้นยอด ยังมีอีกหลายเพลงในแทบทุกๆอัลบั้ม ที่มีความไพเราะ และน่าสนใจเป็นอย่างมาก เรามารู้จักกับผู้ชายคนนี้ "Jason Mraz" ยอดอัจฉริยะแห่งดนตรียุคใหม่ 


                 Jason Mraz เกิดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 1977 ในอเมริกา เมืองแมคคานิกส์วิลล์ (Mechanicsville) ในรัฐเวอร์จิเนีย (Virginia) ชีวิตของ Jason Mraz ไม่ค่อยสู่ดีนักในวัยเด็ก เหตุจากพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เขามีอายุเพียง 4 ขวบ! Jason Mraz เข้าเรียนในโรงเรียน Lee Divs High school ในช่วงจังหวะนี้เอง เขาได้เข้าร่วมกับคณะประสานเสียง และละครเวทีใน Lee Divs School ด้วยพรสววรค์ทางด้านการร้องเพลง ตอนที่เขามีอายุประมาณ 13 ขวบ เขามีโอกาสเข้าไปร่วมร้องเพลงกับวง R&B ซึ่งเป็นการร่วมตัวกันของเด็กวัยรุ่น ในวัยใกล้เคียงกัน เป็นวงดนตรีท้องถิ่น ชื่อวง Dressed To Kill และตรงนี้เองที่ทำให้เขาเริ่มค้นพบ สิ่งที่เขารัก และอยากทำมันแบบจริงๆ จังๆ
                    เขามุ่งหน้าเข้าเรียนในนิวยอร์ก (New York) ในระดับการอุดมศึกษา สาขา Musical Theatre โดยเริ่มหัดเล่นกีต้าร์แบบจริงๆ จังๆ ด้วยความมุ่งมั่นตามความฝันของตนเอง ที่ต้องการเป็นนักแต่งเพลง นักร้อง และเล่นดนตรีอาชีพ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม ในปี 1995, Jason Mraz เข้าร่วมกับวง American Academy ในนครนิวยอร์ก เป็นเวลาสั้น ๆ ในการฝึกฝนทักษะทางด้านดนตรี, ไม่นานนักก็หยุดตัวเองเพื่อมุ่งมั่นกับการเล่นกีต้าร์ และการแต่งเพลง ต่อมา Jason Mraz ได้ย้ายไปยัง San Diego, California เพื่อตามความฝันของตนเอง อีกครั้ง Jason Mraz มีโอกาสร้องเพลงใน Pub แห่งหนึ่ง ชื่อ Java Joe’s ด้วยการแสดงบนเวทีและท่วงทำนองเพลงที่สนุก มีแบบฉบับของตัวเอง จากคนดูไม่กี่คน ก็กลายเป็นคนดูเต็มร้านภายในระยะเวลาไม่สัปดาห์ ที่นี่ Jason Marz ได้พบกับนักร้อง นัก Percussion ชื่อ "โทค่า" (Noel “Toca” Rivera) ทั้งคู่ร่วมกันทำวงและเล่นคู่กัน Mraz และ Toca จึงมีโอกาสไปเล่นตามพับอื่นๆ ในย่านแอลเอ(L.A) นอก Toca จากจะเล่น Percussion ได้ดีแล้ว เขายังมีความสามารถในการร้องเสียงประสานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทั้งสองคนมุ่งมั่น และจริงจังกับการทำเพลงมากขึ้น โดยมองไปถึงขั้นการทำอัลบั้มร่วมกัน ระหว่างนั้น Marz และ Toca ได้ทำเดโมอัลบั้มชื่อ "Live at Java Joe's" มีเพลงเด็ดๆ อย่าง You and I Both, 1000 Things ซึ่งได้มีโอกาสเปิดผ่านรายการวิทยุใน San Diego ด้วย หลังจากโชว์ของเขาทั้งคู่โด่งดังไปชนิดปากต่อปาก ไม่นานนัก... ก็มีแมวมองจากสังกัดค่าย "Elektra Records" ซึ่งได้มีโอกาสมาฟังการแสดงของเขาทั้งคู่ หลังการแสดงในคืนหนึ่งจบลง ทั้งสองถูก Elektra Rocord จับมาร่วมเซ็นสัญญาเพื่อออกอัลบั้ม ในปี 2002 "Waiting for My Rocket to Come" อัลบั้มแรกของ Jason Mraz ภายใต้สังกัด Elextra Rocords โดยได้ John Alagia โปรดิวเซอร์มือดีที่เคยทำงานอัลบั้มอันโด่งดังให้กับ "Dave Matthews Band" และ "John Mayer" มาก่อนหน้านี้ มาช่วยดูแลอัลบั้มให้

               อัลบั้ม "Waiting for My Rocket to Come" ถูกวางจำหน่ายในปลายปี 2002 แนวเพลงไปทาง Pop Rock และ Alternative Rock โดยใส่ซาวนด์อะคูสติกลงไปด้วย ทำให้มีกลิ่น Folkmusic ฟังดูมีเสน่ห์ และแตกต่างจากเพลงอื่นๆ ในช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะตลาดเพลงอเมริกันทั่วไป

               เข้าสู่ปี 2003 Jason Mraz เข้า Studio อีกครั้ง เพื่อออกผลงานอัลบั้มที่สอง "Mr. A-Z" นักวิจารณ์ทั่วโลกต่างวิจารณ์เพลงของ Jason Mraz ว่า เป็นการผสมผสานแนวเพลง ในแบบหลากหลายสไตล์ ได้อย่างลงตัว เทคนิคการร้องแบบผสมผสาน ทั้งโฟล์ค ป๊อป ร็อก และฮิปฮอป ถือเป็นความโดดเด่นของ Jason Mraz ที่ไม่เหมือนใคร ในจังหวะนี้ เขามีโอกาสเข้าสังกัดใหม่ "Atlantic Records" ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ โดยหลังจับมือเซ็นสัญญา Jason Mraz ได้ออกอัลบั้ม "Mr. A-Z" ซึ่งเป็นอัลบั้มที่สอง โดยมีเพลง "Wordplay" เป็นซิงเกิ้ลแรก และเพลง "Geek in The Pink" เป็นชิงเกิ้ลต่อมา เรียกว่า สองเพลงนี้ได้รับเสียงตอบรับได้ดีมากทีเดียว



               ในปี 2008 กับอัลบั้ม "We Sing. We Dance. We Steal Things" ที่ถือเป็นอีกหนึ่งสุดยอดในผลงานเพลงของ Jason Mraz หลังจากเข้าสตูดิโอ เขาได้แยกเพลงต่างๆ ในอัลบั้มนี้ออกเพื่อวางจำหน่าย เป็นเพลงอะคูสติก 3 ชุด คือ "We sing" ออกจำหน่าย 18 มีนาคม, "We dance" ออกจำหน่าย 15 เมษายน และ "We steal things ออกวางจำหน่ายพร้อมกับอัลบั้มเต็มในวันที่ 13 พฤษภาคม
                อัลบั้ม "We Sing. We Dance. We Steal Things" ถือเป็นการพัฒนาการทางดนตรีอีกขั้นของ Jason Mraz มีการนำเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดมาผสมผสานกัน เพิ่มเสน์ห์ความน่าสนใจให้กับบทเพลง และอัลบั้มนี้ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง มากขึ้น ด้วยเพลงเอก ที่โด่งดัง รู้จักและร้องตามกันได้ไปทั่วโลก "I'm Your" และไม่นานนักเพลงหวานๆ อย่าง "Lucky" ก็ดังตามมาติดๆ การได้สาวสวยเสียงดีอย่าง Colbie Caillait มาร่วมร้องเพลง Lucky ช่วยทำให้เพลงนี้ดูมีเสน่ห์ และไพเราะมากขึ้นทีเดียว นอกจากได้ Colbie Caillait มา featuring ให้แล้ว อัลบั้มนี้ยังได้ Martin Terefe โพรดิวเซอร์ที่เคยร่วมงานกับวง "Coldplay" และ "James Morrison" มาแจมอีกด้วย 

                ถึงปี 2010 อัลบั้ม "We Sing. We Dance. We Steal Things" มียอดขายรวม 1,491,736 แผ่นในสหรัฐอเมริกา ได้รับการรับรองโดย RIAA Platinum, ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้มเต็มคือเพลง "I'm Yours" ที่สามารถขึ้นสูงสุดถึงอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100

                ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า เพลง "I'm Yours" ได้สร้างชื่อเสียงให้กับ Jason Mraz ชนิดเรียกว่าดังเป็นพลุแตก ร้องได้กันทั่วโลก แถมถูกตั้งฉายาว่า เป็นเพลงประจำชาติของ Jason Mraz ซึ่งเราเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพลงแนะนำสำหรับอัลบั้ม "We Sing. We Dance. We Steal Things" "I'm Yours" "Make it Mine" "Lucky" "Butterfly" และ "Live High" เป็นต้น จึงเป็นที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่งว่า อัลบั้มต่อไปของ Jason Mraz จะเป็นอย่างไร  น่าลุ้นกันต่อไปค่ะ ^^




สิงโต นำโชค

ประวัติสิงโต นำโชค


              สิงโต เกิดที่จังหวัดบุรีรัมย์และเป็นลูกชายคนโตของนักร้องลูกทุ่ง ชายทุ่ง รุ้งโรจน์  สิงโตได้ออกไปหาประสบการณ์ 3 ปีกับการเล่นดนตรีที่ภูเก็ตสิงโตจบการศึกษาระดับประถมศึกษาปีที่ 6 และ สิงโตเริ่มเล่นอูคูเลเล่เมื่ออายุ 12 – 14 ปี สาเหตุเพราะเห็น อดัม แซนด์เลอร์ จากเรื่อง 50 Firstday (2004) แล้วจึงอยากร้องเล่นตามบาง เลยไปซื้ออุคูเลเล่ ในตัวเมืองภูเก็ตมาเล่น แล้วใช้เพลงมาแต่งด้วยบางเพลง และเริ่มฝึกฝนที่ภูเก็ตอยู่ 3 ปี เมื่อวันหนึ่งสิงโตอยากไปเที่ยวจังหวัดภูเก็ตพร้อมกับกีตาร์คู่ใจ เพื่อนำไปเล่นดนตรีด้วย ความต้องการที่จะไปเที่ยวเพียงแค่ 3 เดือน ทำให้สิงโตได้อยู่ภูเก็ต 3 ปี ช่วงระยะเวลาสามปีที่อยู่ในเมืองภูเก็ต บรรยากาศของเมืองทำให้สิงโตเริ่มหาร้านนั่งจิบกาแฟและเริ่มแต่งเพลงไปด้วย ทุกๆกลางวันเขาจะไปนั่งที่ร้านเพื่อแต่งเพลง จนรู้จักกับคนเปิดร้านกาแฟที่ต่อมาเขาหันมาเปิดบริษัททำเพลง จึงชวนให้สิงโตมาทำเพลงร่วมกันสำหรับเรื่องราวของดนตรี


              ในครั้งนี้เราจะมาพูดถึงประวัติของนักดนตรีคนหนึ่งที่กำลังโด่งดังในวงการเพลงของไทย นั้นก็คือ สิงโต นำโชค ซึ่ง ถือได้ว่าเป็นนักร้องที่มีเอกลักษณ์ในการร้องเพลงในแบบของตัวเองเป็นอย่างดี ให้เสน่ห์ในการร้องซึ่งมีความเป็นมืออาชีพในทางดนตรีคนหนึ่ง สิงโต นำโชค มีชื่อจริงว่านำโชค ทะนัดรัมย์ และมีชื่อเล่นว่าสิงโต ทำให้กลายเป็นชื่อเรียกในวงการเพลงมาจนถึงทุกวันนี้ว่า สิงโต นำโชค



               สิงโตนำโชคนั้น เกิดในจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นลูกชายของชายทุ่ง รุ้งโรจน์ ซึ่งเป็นศิลปินลูกทุ่ง ทำให้เขามีความชอบในเสียงดนตรีมาตั้งแต่เด็ก และยังเป็นเจ้าของรางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 และ รางวัล People Choice ผู้ที่ได้รับคะแนนโหวตมากที่สุด จากการประกวด Ukulele Thai ซึ่งเป็นครั้งแรกในการประกวดที่ได้จัดขึ้นในประเทศไทย สำหรับเส้นทางของการเล่นดนตรีของสิงโต นำโชคนั้น เขาได้เดินทางไปยังจังหวัดภูเก็ตเพื่อหาประสบการณ์ในการเล่นดนตรีและที่นั้น ทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเพลงมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการแต่งเพลง หรือจะเป็นการเล่นดนตรี

               หลังจากนั้นสิงโต นำโชค ก็ได้รู้จักกับเจ้าของบริษัทเพลง พอลเลน ซาวน์ด ซี่งทำให้สิงโตได้ถูกชักชวนให้มาเล่นดนตรีในค่ายเพลงด้วย สำหรับแนวเพลงที่สิงโตเล่นนั้นจะเป็นเพลงในสไตล์ เซิร์ฟ มิวสิค เป็นเพลงที่ฟังสบาย ๆ เหมาะกับบรรยากาศริมชายทะเลเป็นอย่างดี นั้นเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตในวงการดนตรีอย่างเต็มตัวของสิงโต นำโชค และเขาก็ได้ออกอัลบั้มชื่อสิงโต นำโชค และเป็นอัลบั้มที่ได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงเป็น อย่างดีทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในวงการดนตรี จนกลายเป็นนักดนตรีที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองด้วยผลงานที่มีคุณภาพก็ทำให้ เกิดกลุ่มแฟนเพลงของเขาขยายตัวมากขึ้น





                เป็นยังไงกันบ้างค่ะ กับประวัติของ สิงโต นำโชค มีแรงกระตุ้นเลยเชียวละ ชื่นชมพี่เขามากๆเลย ซึ่งตอนนี้ก็แต่งงานมีลูกไปเรีบยร้อยแล้ว แต่ก็ยังน่ารักมากๆเลยค่ะ
สิงโต นำโชค เป็นศิลปินอีกคนที่เป็นแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นเล่นอูคูเลเล่ของเรา และก็คงอีกหลายๆคนเหมือนกันใช่ไหมละคะ  ^^

แถมนิดนึง ^_____^




วิธีดูแล Ukulele

การดูแลรักษา Ukulele
1. เก็บไว้ในเคส จะดีที่สุดค่ะ เวลาไม่เล่นก็เก็บใส่เคส จะเป็นเคสอ่อน เคสแข็ง ได้ทั้งนั้น (แต่เราแนะนำว่าเคสแข็งดีกว่านะ เผื่อมีอะไรมากระทบกระแทก อูคูเลเล่เราจะได้ไม่เสียหายให้ช้ำใจ^^)
2. เก็บเคสไว้ในที่ที่ไม่โดนแดด โดนฝน โดนลม ห้ามเก็บในรถนะ เพราะอากาศจะร้อนมาก ไม่ถ่ายเท
3. เวลาเดินทางไกล ขึ้นเครื่องบิน หรือส่งอู๊คไปทางอากาศ ควรจะทำการหย่อนสาย เพราะความกดอากาศ อาจจะทำให้สายตึงเกิดการเสียหายได้ ไม่ต้องถึงกับถอดสายออกมา แค่ผ่อนให้สายมันหย่อน ๆ แล้วเดี๋ยวลงจากเครื่องแล้วค่อยทูนกันใหม่ค่ะ
4. ไม่ควรให้โดนน้ำ ถ้ามือเลอะน้ำ ก็เช็ดให้แห้งก่อนเล่น น้ำกับไม้ ไม่ค่อยถูกกัน
5. ถ้ามือมันมาก หรือเหงื่อออกมา เวลาเล่นเสร็จแล้ว ก็ให้เอาผ้าแห้ง ๆ เช็ดโดยรอบ โดยเฉพาะบริเวณเฟร็ตบอร์ด ถ้าเป็นผ้าชนิดที่เป็นเส้นใยละเอียด micro fiber จะดีมาก เพราะทำความสะอาดได้ดีค่ะ
6. ถ้าอาศัยอยู่ในเมืองที่อากาศร้อนจัด หรือหนาวจัด อากาศแห้ง ๆ อาจจะต้องหา humidifier มาไว้ มันเป็นเหมือนตัวรักษาความชื้น นำไปชุบน้ำ แล้วก็ทิ้งไว้ในเคส (ไม่ต้องชุบมากจนมันหยดออกมานะ!!) แล้วเดี๋ยวมันจะแห้งของมันไปเอง เดือนหนึ่ง อาจจะนำไปชุบน้ำสักครั้งสองครั้ง แต่สำหรับประเทศไทยมันร้อนชื้น คงไม่เป็นไรค่ะ
7. ถ้ามีอู๊คหลายตัว หยิบเล่น หยิบวางอยู่เป็นประจำ อาจจะต้องหาแสตนด์มาตั้ง ดีกว่าไปวางไว้ที่พื้นให้ฝุ่นเกาะ เคยเห็นบางคนทำตะขอติดผนัง แขวนข้างฝาก็สวยดีไปอีกแบบ (อย่าไปแขวนในที่ ๆ แดดส่องถึงเป็นใช้ได้)
8. ห้ามเก็บไว้ในรถ กระโปรงหลังรถยิ่งไม่ได้เลย (ขอเตือนอีกครั้งหนึ่ง) เสี่ยงต่อการโดนขโมยด้วยนะ
9. วิธีขัดถูอู๊ค จะต้องใช้น้ำยาเคมี หรือครีมมาทา แล้วขัด ๆ เพื่อรักษาสภาพของไม้ให้คงอยู่นานๆ ไม่เสื่องสภาพไปก่อนค่ะ หรืออาจจะใช้ผ้าแห้งเช็ดธรรมดาก็ได้นะ^^





การเลือกซื้อ Ukulele

วิธีดูอูคูเลเล่
  • หาคนที่เล่นเป็น ไปช่วยเลือกซื้อ
               วิธีนี้ง่ายที่สุด หาคนที่เล่นอูคูเลเล่เป็น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือ คนรู้จัก ไปช่วยเลือกซื้อ
เพราะของแบบนี้ คนมีประสบการณ์ถึงจะบอกได้ (สาย เสียง การจับ คุณภาพโดยรวม) ถ้าเราไม่มีประสบการณ์มาก่อน ย่อมตัดสินใจลำบาก ถ้าไม่มีคนไปด้วย อาจต้องหา Review จากเว็บไซต์แล้ววัดดวงกันไป
  • ลองเล่นเองดูเลย (Playability)
                ลองดูว่า ถือแล้ว ถนัดมือเราไหม ย้ายมือสะดวกหรือเปล่า สมดุลดีไหม เล่นแล้วเสียงบอด หรือ หึ่งไปหรือเปล่า เลือกดูอันที่เราคิดว่า เราชอบ และสามารถเล่นไปได้อีกนาน ๆ
  • ขนาด (Size)
                อูคูเลเล่ มีอยู่ 4 ขนาด ได้แก่
- เล็ก (Soprano) เป็นขนาดมาตรฐานของอูคูเลเล่ เหมาะสำหรับมือใหม่ เสียงจะหวานแบบฉบับอูคูเลเล่ รุ่นนี้เหมาะทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่
- กลาง (Concert) มีโน้ตให้กดมากกว่ารุ่นเล็ก ขนาดยาวกว่าเล็กน้อย ยังคงเสียงหวาน ๆ อยู่
- ใหญ่ (Tenor) เหมาะสำหรับมือกีต้าร์ ที่ย้ายค่ายมาเล่นอูคูเลเล่ รองรับรูปแบบการเล่นที่หลากหลายได้ เสียงจะต่างไปจาก 2 รุ่นแรกอยู่บ้างนิดหน่อย
- ใหญ่มาก (Baritone) อันนี้ตัดออก เรียงสายไม่เหมือนชาวบ้าน
                 ถ้าให้เราแนะนำนะ ให้เริ่มต้นเล่นที่รุ่นเล็ก (Soprano) ก่อน เพราะถ้าเราอยากเล่นขนาดอื่นๆ ก็จะสามารถเล่นได้เลย เพราะใช้พื้นฐานเดียวกัน
  • ราคา (Price)
                 อูคูเลเล่ที่ดี ราคามักจะอยู่ที่ 1,500 บาทขึ้นไป (มือใหม่ ไม่ควรใช้งบเกิน 5,000 บาท) เพราะเราไม่รู้ว่า เราจะชอบอูคูเลเล่หรือเปล่า และขณะเดียวกัน ถ้าเสียงไม่ดี ก็คงไม่มีใครอยากเล่นต่อ แน่นอนว่า ของถูกมักไม่ใช่ของดี และของแพงใช่ว่าจะดีเสมอไป ต้องพึงนึกถึงข้อนี้เอาไว้ด้วย
  • เสียง (Sound)
                 ข้อนี้เป็นข้อตัดสินเลย เพราะว่าเราซื้อมา เราเล่นเอง เราชอบเสียงอูคูเลเล่ตัวนี้ไหม  วิธีที่ง่ายคือ เทียบเสียงกับตัวที่ราคาแพง หรือ เทียบเสียงกับวิดีโอรุ่นอูคูเลเล่ที่เราถูกใจ พยายามเทียบเสียง หาลักษณะร่วมของตัวที่แพง กับ ตัวที่จะซื้อให้เจอ
  • รูปทรง (Alignment)
                 ตรวจดูว่า มีรอยแตก ด้านนอก/ในไหม (เอาไฟส่อง ดูว่าไฟทะลุไหม) ด้านในงานเก็บดีหรือเปล่า ส่วนหัวกับหาง สายเรียงตรงหรือเบี้ยว (ยกขึ้นมาส่อง จากหัวไปยังส่วนท้าย) ควรจะเรียงตรงเหมือนรางรถไฟ ถ้าเบี้ยว จะทำให้เสียงที่ดีดออกมาเพี้ยนได้ เลือกทรงที่หน้าตาเหมือนกีต้าร์ธรรมดา หรือ เหมือนสัปปะรด แตงโม พวกนี้เวลาจับแล้วถือง่าย วางบนตักง่าย  ถ้าเป็นพวกทรงแปลก ๆ แบบพวกตัว V ถึงเท่ แต่จับลำบาก นอกจากนี้เช็คดูด้วยว่าจุดยึดสายทุกจุด (Nut, Bruidge) แน่นหนา ไม่โยกคลอน ส่วนเชื่อมคอ (Neck) กับ ลำตัว (Body) แน่นหนา ไม่เบี้ยว
  • ไม้ (Wood)
                ไม้ที่ใช้ทำอูคูเลเล่ มีหลายชนิดมาก ตั้งแต่ Koa, Mahogany, Cedar ฯลฯ  ถ้าเป็นแบบไม้แท้ ชนิดของไม้ที่ทำจะมีผลต่อเสียงเป็นอย่างมาก ส่วนแบบไม้อัด ชนิดของไม้ไม่มีผล เพราะเป็นแค่ลายไม้ แปะทับลงไปบนไม้อัดอีกที
- ไม้แท้ (Solid wood) ทำจากไม้แท้ ๆ ตรงแผ่นหน้าเลย และแน่นอนว่า แบบไม้แท้ ราคามักจะโดดขึ้นไปอย่างมาก
- ไม้อัด (Laminated wood) แบบนี้ข้างนอกเป็นลายสวย ๆ ข้างในเป็นไม้อัด ไม้อัด เสียงจะอู้อี้ ๆ และดังน้อยกว่าแบบไม้แท้ ข้อดีของไม้อัดก็มีอยู่ คือ อายุการใช้งานจะทนกว่าไม้แท้ พอผ่านไปนาน ๆ พวกไม้อัด เสียงจะไม่อู้อี้ไปกว่าเดิม และทนอากาศชื้น ๆ ของเมืองไทยได้ดีกว่าด้วย
***บางคงอาจจะสงสัยว่าไม้อัดมันคืออะไร ไม้อัดคือการที่คน เอาท่อนซุง ทรงกระบอก ไปเข้าเครื่อง แล้วรีดซุงออกมาบางเหลือเท่าแผ่นกระดาษ (นึกถึงลักษณะม้วนกระดาษทิชชู่ก็ได้) จากนั้นเอาแผ่นไม้บาง ๆ เหล่านี้มาซ้อนกันแล้วนำไปอัดเข้าด้วยกันให้ติดเป็นแผ่นไม้หนา ๆ
***ข้อที่ควรรู้อีกอย่างคือ ในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นแบบไม้อัด แต่ก็มักจะถูกโฆษณาว่าเป็นไม้แท้ เช็ครุ่นดูดี ๆ 
- ถ้างบจำกัด และรักสิ่งแวดล้อม แนะนำให้เลือกแบบไม้อัด
- ถ้างบไม่จำกัด แบบไม้แท้ เสียงจะดีกว่า
  • สาย (String)
                 สายมีหลายชนิดเหมือนกัน มีทั้งแบบสายไนลอน (Nylon) สายไส้สัตว์ (Gut string) สายเหล่านี้มีผลต่อการ เล่นอูคูเลเล่ (Ukulele) ทำให้เสียงที่ออกมาเป็นดังที่ต้องการ ยี่ห้อที่นิยม ได้แก่ Aquila, Worth  ของแบบนี้ ต้องลองจับดูเลย ถ้าไปเจอรุ่นถูก ๆ เข้า เวลาเล่นแล้วจะเจ็บนิ้ว พอสมควร ควรดูด้วยว่าระยะห่างระหว่างตัวสาย กับ เฟร็ต (เหล็กรูปตัวหนอน, Fret) ห่างกันแค่ไหน (มองจากด้านข้าง)
- ถ้าสายอยู่สูงไป เสียงจะดี และไม่ค่อยเพี้ยนไปโดนสายอื่น แต่จะเจ็บนิ้ว และกดคอร์ดยาก
- ถ้าสายอยู่ต่ำไป จะกดคอร์ดง่าย แต่ไปพลาดโดนคีย์อื่นได้ง่ายเช่นกัน
***คำแนะนำโดยทั่ว ๆ ไป คือ ห่างประมาณเอาบัตรประชาชนสอดเข้าไปได้ (สายตรงช่วงบนสุด กับ เฟร็ต)
  • ลูกบิดตั้งสาย (Geared Tuner)
                 เลือกซื้อแบบที่ใช้มือบิดได้ (แบบเฟือง, Geared tuner) หน้าตาคือลูกบิดที่ยื่นออกไปด้าoข้าง (ดังรูปประกอบบทความ) ลูกบิดแบบนี้ปรับง่าย ลูกบิดต้องยึดแน่นกับตัวอูคูเลเล่ ดีด ๆ ไปซักพัก เสียงไม่ควรจะเพี้ยนเร็ว (ยกเว้นสายที่พึ่งขึ้นใหม่ ๆ ช่วงแรก ๆ สายจะยังไม่ยืดพอ ทำให้เพี้ยนเร็ว แต่เล่นไปซักพัก สายจะเข้าที่เอง)
- บิดตามเข็มนาฬิกา คลายสายให้หย่อนลง
- บิดทวนเข็มนาฬิกา ขึงดึงสายให้ตึงขึ้น

*****ระวังของปลอม (Counterfeit)ของปลอมมีหลายแบบ ทั้งปลอมแบบทั้งหน้าตา ทั้งโลโก้ กับ ปลอมแบบลอกเลียนแบบหน้าตามา แต่โลโก้เปลี่ยนตัวพยัญชนะไปบ้าง เช็คดูดี ๆ ก่อนซื้อ หาร้านที่ไว้ใจได้ ยี่ห้อไหนไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน Search ก่อนว่ามียี่ห้อนี้อยู่จริงหรือไม่ เช่น ยี่ห้อจริง ชื่อ TOUGH (ชื่อสมมติ) ยี่ห้อปลอม ชื่อ TOUCH (ชื่อสมมติ) การเปลี่ยนตัวพยัญชนะไปบ้าง ถ้าคนซื้อสังเกตไม่ดี ทำให้คนที่จำชื่อได้ไม่แม่น หรือ อาศัยว่าคุ้น ๆ เอา แล้วหยิบซื้อเลย จะพลาดเอาได้
ลองค้นหาดูก่อน จากในอินเทอร์เน็ต (Internet) ก็ได้ ว่ามีผู้ผลิตยี่ห้อนี้จากต่างประเทศจริงหรือไม่  ราคาของปลอม มีตั้งแต่ถูกสุด ๆ ไปยังแพงสุด ๆ เหมือนกัน

ก่อนตัดสินใจซื้อ ต้องรอบคอบ และคัดเลือกให้ดีที่สุดนะคะ^^


Ukulele Groove

Groove แบบ Swing/Shuffle
             การเน้นในแต่ละจังหวะตกหรือยก ทำให้เกิดกรูฟ (Groove) ที่แตกต่าง การเล่นจังหวะตกและยกนั้น หากไม่มีการเน้นที่จังหวะใดเลย เพลงก็จะเรียบๆเหมือนกันไปหมด แต่ที่เราได้ยินเพลงแต่ละเพลงต่างกันนั้น เป็นเพราะเพลงมีสิ่งที่เรียกว่า กรูฟ (Groove) ของเพลง ซึ่งเกิดจากการเลือกเน้น หรือ ไม่เน้น ที่จังหวะตกหรือยกบางจังหวะนั่นเอง

การเน้นที่จังหวะตกของนับที่ 2 และ 4 ทำให้เกิดกรูฟแบบ Swing/Shuffle
               กรูฟแบบ Swing/Shuffle เป็นกรูฟเบื้องต้นแบบหนึ่งที่เหมาะกับการนำมาเล่นอูคูเลเล่ ให้ความรู้สึกสนุกสนานและสบายๆ โยกตามไปกับเพลงได้ และเกิดขึ้นจากการที่คนเรามักจะเน้นที่จังหวะตกของนับที่ 1 ไปเอง เพราะเป็นจุดเริ่มต้น และทำให้เราเน้นที่จังหวะตกของนับที่ 3 ซึ่งอยู่ห่างกัน 2 นับไปโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อเราสลับมาเน้นจังหวะที่เราไม่ได้เน้นแทน คือ จังหวะตกในนับที่ 2 และ 4 เราก็จะได้กรูฟแบบ Swing/Shuffle

วิธีฝึกเล่นกรูฟแบบ Swing/Shuffle 
                 การเล่นกรูฟแบบ Swing/Shuffle ให้เราเริ่มจากการสตรัมลงที่จังหวะตกอย่างเดียวไปเรื่อยๆ แล้วนับ 1 2 3 4 ไปด้วยก่อน ซึ่งก็คือการเล่น 1 ห้อง จากนั้นให้เราเน้นเสียงในนับที่ 2 กับ 4 น่าจะทำให้เราสตรัมหนักขึ้นในนับดังกล่าวไปโดยอัตโนมัติ วิธีที่ทำให้เน้นจังหวะตกของนับที่ 2 และ 4 ได้ดีขึ้นไปอีกคือ หากเราสตรัมเบาลงหรือไม่เน้นในจังหวะตกของนับที่ 1 และ 3 โดยสตรัมลงแค่ที่สาย 4 สายเดียว หรือลงไปถึงสาย 3 ด้วย ก็ทำให้จังหวะที่เราเน้นชัดขึ้นไปอีก โดยเราจะเล่นลงทั้ง 4 สายในจังหวะตกของนับที่ 2 และ 4
                 เมื่อเราได้ฝึกเน้นที่จังหวะตกของนับที่ 2 และ  4 ด้วยการเล่นลงอย่างเดียวกันไปแล้ว โดยที่การสตรัมลงอย่างเดียวนั้นไม่ยากเลย ทีนี้ก็มาลองเพิ่มจังหวะยกเข้าไปด้วยนะ

                 รู้สึกเหมือนเรากันบ้างมั้ยว่าพอเริ่มเล่นจังหวะยกด้วย เพื่อนๆก็อาจจะสับสน เพราะรู้สึกว่าเราสตรัมไม่เท่ากัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาค่ะ มันเกิดจากการเน้นจังหวะ ทำให้เกิดการหน่วง ซึ่งก็คือ Groove นั่นเองค่ะ เพราะเวลาที่เล่นจังหวะตกของนับที่ 1 และ 3 เราเล่นแค่ถึงสาย 4 หรือ 3 จึงทำจังหวะยกต่อจากนั้นยาก อาจไม่ต้องเล่นที่จังหวะยกต่อจากนับที่ 1 และ 3 ก็ได้ ให้เล่นจังหวะยกที่ต่อจากนับที่ 2 และ 4 เท่านั้น และเมื่อเน้นจังหวะตกของนับที่ 2 และ 4 มากกว่า จังหวะยกที่ต่อจากนับที่ 2 และ 4 ก็จะมาช้าลง และเคลื่อนเข้าไปใกล้กับนับที่ 1 และ 3 มากขึ้นด้วย ซึ่งก็คือการหน่วงนั่นเอง


ข้อสังเกตในการเล่นกรูฟแบบ Swing/Shuffle
                การเล่นแบบมีกรูฟนั้น มีการเน้นจึงทำให้เกิดการหน่วง ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการทำให้เราเร่งจังหวะได้ ข้อสำคัญในการเล่นแบบนี้ คือ ต้องรักษาความเร็วในการเล่นไว้ให้ได้ อย่าเร่งจังหวะ อาจใช้เครื่องเคาะจังหวะ (Metronome) ในการช่วยฝึกให้ไม่เร่งจังหวะได้

Metronome  เครื่องเคาะจังหวะ


Broken Chord กับ Ukulele

การเล่นคอร์ดแบบเกา (Broken Chord)
                 การเล่น Broken Chord คือ การเล่นประสานเสียงแบบหนึ่ง ปกติคอร์ดที่เราเล่นจะมีโน้ตอยู่หลายตัวด้วยกัน ก็คือโน้ตของแต่ละสายเวลาที่เราจับคอร์ด เวลาเราเล่นก็ใช้นิ้วดีดทีละสาย ซึ่งการเล่นทีละสายก็คือการเล่น ปิ๊กกิ้ง (Picking) อย่างหนึ่งนั่นเอง แต่จริงๆการเลือกเล่นทีละสายก็มีอีกหลายแบบด้วยกัน การเล่นที่เราเรียกว่า Broken Chord จะมีลักษณะคล้ายๆการเกา หรือเรียกว่า การเกาสาย นั่นเอง

หลักการเกาสายเบื้องต้น
                 การเกาสายอูคูเลเล่ที่มีอยู่ 4 สายนั้น เบื้องต้นเราใช้เพียง 2 นิ้วก่อน คือ นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือขวา เริ่มต้นเกาสาย ให้เราเอามือไว้ที่ตำแหน่งเหนือสายบริเวณช่องเสียง อาจใช้นิ้วก้อยมาช่วย โดยค้ำไว้ที่ไม้หน้าใต้สาย นิ้วโป้งจะใช้เล่นสาย 3 และ 4 ส่วนนิ้วชี้จะเล่นสาย 1 และ 2 ดังนั้นนิ้วโป้งจะดีดลง และนิ้วชี้จะดีดขึ้น บริเวณของนิ้วที่ใช้เล่นสาย คือ บริเวณอุ้งนิ้ว หรือหากใครมีเล็บก็ใช้เล็บ

วิธีฝึกเกาสาย
                 ในการฝึกเกาสายเบื้องต้น เราจะใช้แพทเทิร์นดีดสลับแบบจากด้านในออกด้านนอก หรือ เป็นการดีดจากสายเสียงที่ต่ำที่สุดไปยังสายเสียงที่สูงที่สุด โดยให้การดีดแต่ละครังแทนจังหวะตกและยก คือดีดสาย 3 ด้วยนิ้วโป้งก่อน ตามด้วยสาย 2 ด้วยนิ้วชี้ สาย 4 ด้วยนิ้วโป้ง และสุดท้ายที่สาย 1 ด้วยนิ้วชี้ เมื่อวนครบ 2 ครั้งตามลำดับ ก็จะได้ 1 ห้องพอดี 


แพทเทิร์นการเกาสายแบบอื่น
                  การนำการเกาสายแบบ Broken Chord ไปใช้ เป็นเช่นเดียวกับการสตรัม หากเราทำในทุกๆจังหวะตกและยก ก็อาจทำให้ฟังดูน่าเบื่อ เราจึงต้องสร้างแพทเทิร์นการเล่นแบบ Broken Chord ขึ้น  ซึ่งจะคล้ายกับการเล่น Strumming Pattern นั่นเอง โดยในการเริ่มเล่นแบบนี้ให้เราตัดจังหวะตกของนับที่ 3 และจังหวะยกของนับที่ 4 ออก เป็นการเล่น 1 ห้อง


ข้อสังเกตในการเล่นแบบ Broken Chord 
                 การเล่น Broken Chord เป็นการเล่นแบบเสียงประสาน ถึงแม้เราจะไม่ได้เล่นเสียงของคอร์ดพร้อมกัน แต่ที่สำคัญคือต้องมีช่วงเวลาที่เสียงประสานกันอย่างน้อย 2 เสียง หรือ 1 คู่ จึงจะนับเป็นการเล่นเสียงประสาน ดังนั้นเวลาที่เล่น ต้องไม่ให้นิ้วไปหยุดสาย เราต้องปล่อยให้สายสั่น และทำให้เกิดเสียงค้างไว้ตลอด จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญมากค่ะ 



เทคนิคการชังค์

เทคนิคการชังค์ (Chunk Technique)
             การชังค์ คือ การจำลองเสียงกลองสแนร์ การเล่นอูคูเลเล่นั้นเป็นแบบเสียงประสาน โดยเลียนแบบเสียงของเครื่องดนตรีประกอบจังหวะไปด้วย ซึ่งก็คือกลอง เพราะกลองคือตัวกำหนดจังหวะในดนตรีสากล กลองนันหลักๆจะประกอบไปด้วยเสียงเบสดรัม (Bass Drum) หรือกระเดื่องที่ใช้เท้าเหยียบเครื่องตี และเสียงสแนร์ (Snare) หรือกลองแต๊กที่ใช้ไม้ตี การจะทำให้เสียงอูคูเลเล่เลียนแบบเสียงกลองได้ดีมากขึ้น เราก็จะใช้การชังค์ (Chunk) ซึ่งเป็นการเล่นแบบ Percussive คือเป็นเสียงจังหวะอย่างเดียว ไม่มีเสียงทำนองหรือเสียงประสานออกมามากนัก

วิธีฝึกการชังค์
             การชังค์นั้นเราจะต้องทำ 2 สิ่งตามลำดับ คือ การสตรัม (Strum) และการหยุดสาย (Mute) โดยให้ระยะเวลาระหว่างการทำสองอย่างนี้เร็วที่สุด คือ เมื่อสตรัมลงไปแล้วให้ใช้มือหยุดสายเลยทันทีนั่นเอง ในการหยุดสายอาจใช้ฝ่ามือบริเวณโคนนิ้วโป้ง หรือ จะเป็นตรงอุ้งมือบริเวณใต้นิ้วก้อยก็ได้ ฝึกชังค์ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้เสียงที่ชัดเจน

การนำการชังค์ไปประยุกต์ใช้
             ตามที่กล่าวข้างต้น การสตรัมก็คือ การเลียนแบบเสียงกลอง คราวนี้เมื่อเราชังค์ได้แล้วให้เอามาใช้กับ Strumming Pattern ของเรา ให้เหมือนเสียงกลองมากขึ้น โดยนำการชังค์ไปใส่ไว้ที่จังหวะตกในนับที่ 2 ทีนี้เราก็อาจจะนับตามว่า  ลง Chunk ขึ้น ขึ้น ลง  คล้ายกับเสียงว่า  ตึก โป๊ะตึก ตึกตึก หรืออาจจะใส่ไว้ในนับที่ 4 แล้วเพิ่มจังหวะยกหลังนับที่ 4 เข้าไปเป็น  ลง Chunk ขึ้น ขึ้น Chunk ขึ้น หรือ ตึก โป๊ะตึก ตึกโป๊ะตึก  ลองดูแล้วฝึกตาม แล้วเราจะสามารถนำไปใช้กับเพลงได้เลย

ข้อสังเกตในการเล่นเทคนิคชังค์
            การเล่นชังค์นั้นเป็นการเล่นเทคนิค คือ สิ่งที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับเพลง แต่ว่าไม่ได้จำเป็นต้องชังค์ตลอดเวลา เราอาจจะทำบ้าง ไม่ทำบ้างก็ได้นะ



จังหวะกับ Ukulele

จังหวะตกและจังหวะยก
               ในการสร้างจังหวะบนการเล่นอูคูเลเล่ เราจะเริ่มด้วยการดีดลง อย่างที่เราได้ทำกันไปแล้ว การดีดลงก็คือจังหวะตก ถ้าเราเล่นลง หรือเล่นจังหวะตกไปเรื่อยๆ สิ่งที่เราจะเลี่ยงไม่ได้ก็คือ การยกมือขึ้น เพื่อดีดลงครั้งต่อไป  ทีนี้หากเราจะลองเล่นจังหวะยก ก็ลองใช้เนื้อบริเวณอุ้งนิ้วลูบขึ้นขณะที่เรากำลังยกมือขึ้นนั่นเอง ทีนี้เราก็จะได้การเล่นแบบขึ้นลงสลับกันไปเรื่อยๆ ให้เรานับเลข 1 2 3 4 แทนนับต่างๆของห้อง เป็น  ลง ขึ้น ลง ขึ้น  ลองทำดูให้ชินมือ และสามารถดีดถูกทุกสายให้เกิดเสียงพร้อมกันค่ะ

Strumming Pattern
               ในการเล่นอูคูเลเล่นั้น หากเราสตรัมขึ้นลงสลับกันไปเรื่อยๆตลอด เราก็เล่นเพลงได้เรื่อยๆ แต่อาจจะเบื่อจากการเล่นแบบนั้นได้ เราควรเล่นให้มีจังหวะที่ไพเราะมากขึ้นด้วยการเล่นแบบ Strumming Pattern ซึ่งเกิดจากการนำจังหวะตกและยกมาประยุกต์ใช้ ให้ลองดู Strumming Pattern อย่างง่ายโดยการไม่เล่นจังหวะตกและยกบางจังหวะในห้อง เช่น ลง ลง ขึ้น ขึ้น ลง  เป็นการ Strumming Pattern แบบเบื้องต้น อาจต้องใช้เวลาสักพักในการฝึก และทำให้ร่างกายคุ้นชินกับการเล่นลักษณะนี้


ข้อสังเกตในการเล่น Strumming Pattern 
                 การเล่น Strumming Pattern ในแต่ละห้องนั้น ถึงแม้เราจะไม่ได้เล่นจังหวะตกและยกบางจังหวะดังกล่าว แต่ในความเป็นจริงแล้ว จังหวะตกและยกทั้งหมดก็ยังอยู่ในการเล่นของเรา เพียงแค่เราไม่ได้ถูกสายและไม่มีเสียงจังหวะนั้นออกมาเท่านั้น แต่ในการเล่นจังหวะตกของนับที่ 1 เราจำเป็นต้องยกมือขึ้น เพื่อที่จะไปเล่นจังหวะตกของนับที่ 2 ต่อ  ไม่สามารถหลีกเลี่ยงด้และการยกมือขึ้นครั้งนี้ ก็คือจังหวะยกของนับที่ 1 นั่นเอง  กล่าวคือ ยังต้องเป็นไปตามกฎของจังหวะตกกับยกที่ต้องมาด้วยกันเสมอ และถึงแม้ว่าเราจะไปถูกสายและเกิดเสียงขึ้นในจังหวะตกหรือยกที่เราตั้งใจจะไม่เล่น ก็ไม่ทำให้การเล่นของเราผิดแปลกหรือฟังดูไม่ดี หากเรายังเล่นเท่าๆกันเป็นจังหวะในทุกๆนับ ดังนั้นในการเล่น Strumming Pattern เป็นเหมือนแนวทางในการปฎิบัติเท่านั้น เราใช้ยึดเป็นแนวทาง แต่เราไม่จำเป็นต้องเล่นเหมือนกับ Strumming Pattern ตลอดเวลา ขอแค่ให้มือของเราขยับขึ้นลงเป็นจังหวะตกกับยกไปเรื่อยๆก็สามารถทำให้เราเล่นเพลงต่างๆได้อย่างต่อเนื่องและน่าฟัง

***ในขั้นตอนของการเริ่มเล่น เราแนะนำให้ลองสตรัมแบบต่างๆดู ไม่จำเป็นต้องทำตามรูปแบบมาก เพราะเหมือนเราได้คิดทำนอง จังหวะขึ้นมาเอง ทำให้เราเข้าใจ และกำหนดจังหวะเพลงเป็นได้อย่างรวดเร็ว ลองฮัมเพลงแล้วลองดีดเป็นจังหวะตกและยกดูว่าอันไหนเข้ากัน หรือแบบเวลาเราฟังเพลง ลองเคาะมือหรือเคาะเท้าตามจังหวะเพลงดูก็จะช่วยกำหนดจังหวะเพลงได้ เราก็จะรู้ว่าควรดีดขึ้นหรือลงแทน ไม่ต้องไปสนคอร์ดนะคะ ลองดีดๆดูว่าเราเข้าใจจังหวะของเพลงแล้วหรือยังค่ะ แค่นั้นก็เป็นการเรื่มต้นที่ดีแล้วค่ะ  ^^



เริ่มต้นจับ Ukulele

การจับถืออูคูเลเล่ในการเล่น
              อูคูเลเล่เป็นเครื่องดนตรีประเภทที่เราจะต้องจับถือให้ถนัด เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็ก ต่างจากเครื่องดนตรีบางประเภทที่เราวางไว้ตามจุดต่างๆบนพื้น หรือ บนร่างกาย การจับถืออูคูเลเล่นั้นไม่มีวิธีที่ถูกผิดตายตัว เพียงเราจับให้เล่นได้ถนัดก็พอ แต่การจับให้เล่นได้ง่าย คล่องแคล่ว สะดวก และพัฒนาต่อได้ดีนั้น เราต้องใส่ใจพอสมควร การจับถือได้ถนัดมีหลักการ ดังนี้

1. ให้หัวอูคูเลเล่อยู่ทางซ้ายมือของเรา
              หันหน้าอูคูเลเล่ออก บางคนที่ถนัดซ้ายและเพิ่งเริ่มเล่น ไม่จำเป็นต้องกลับด้านอูคูเลเล่ เนื่องจากในการเริ่มเล่น เราไม่ได้ถนัดมือใดก็ตามมาก่อนในการใช้เล่นอูคูเลเล่ เราต้องฝึกใหม่ทั้งสองมืออยู่ดี เว้นแต่มีการฝึกเล่นกลับด้านและถนัดมาก่อนอยู่แล้ว การจับแบบกลับด้านก็มีข้อเสีย คือ เราเล่นอูคูเลเล่ส่วนใหญ่ไม่ได้ เพราะอูคูเลเล่ที่ใช้เล่นกลับด้านมีไม่มาก เราแนะนำให้ฝึกใช้ทั้งสองมือดีกว่าค่ะ

2. มือขวาจับอูคูเลเล่จากด้านหน้า
             โดยนิ้วชี้ และ นิ้วโป้ง จับที่บริเวณรอยต่อของคอกับลำตัวพอดี อุ้งมือสัมผัสกับสาย การทำแบบนี้บริเวณท้ายของอูคูเลเล่จะเข้าที่ซอกแขนของเราพอดี เราจะใช้แขนด้านในประคองอูคูเลเล่ไว้ให้ลำตัวอูคูเลเล่สัมผัสบริเวณด้านขวาของลำตัว อาจเป็นที่ซี่โครงขวา หรือ สีข้างช่วงท้องก็ได้ ขึ้นอยู่กับความถนัด เวลานั่งให้นั่งหลังตรง เราอาจวางอูคูเลเล่ไว้ที่ตักด้านขวาด้วยก็ได้ เพื่อที่จะได้จับอูคูเลเล่ของเราอย่างมั่นคงมากขึ้น จุดสังเกต คือ อูคูเลเล่ จะทำมุมกับตัวเรา ประมาณ 45 องศา และอูคูเลเล่ไม่ปิดด้านหน้าของท้องเรา

3. เอียงคออูคูเลเล่ขึ้นประมาณ 30 องศา หรือ ตามถนัด
              เพื่อให้มือซ้ายใช้จับคอร์ดบนอูคูเลเล่ได้ถนัด ให้ใช้พื้นที่ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งมือซ้ายมาหนีบไว้ที่บริเวณด้านหลังคอก่อนถึงนัท ในการเล่นเบื้องต้นให้ใช้สันมือซ้ายฝั่งนิ้วชี้ช่วงโคนนิ้วรองด้านล่างของคอไว้ เพื่อให้เราเปลี่ยนคอร์ดได้ง่าย สันมือจะคอยประคองไม่ให้คอตก และใช้ปลายนิ้วโป้งแปะไว้ที่ด้านหลังคอ
น้องเกล-โสพิชา อังคะไวมงคล

การจับคอร์ด (มือซ้าย)
             การจับคอร์ด คือ การนำนิ้วมือซ้ายไปวางไว้ที่เฟร็ต โดยนิ้วจะกดสายเข้าหาฟิงเกอร์บอร์ด คอร์ดง่ายๆที่เราจะเริ่มเล่นกันก็คือ คอร์ด C เราจะนำนิ้วนางข้างซ้ายกดเฟร็ตที่ 3 ของสายที่ 1 ขณะที่เรากดจุดดังกล่าว ให้ย้ายปลายนิ้วโป้งไปไว้ที่หลังคอบริเวณหลังเฟร็ตที่ 2 เพื่อความถนัดมากขึ้นในการจับคอร์ด ลักษณะการจับคอร์ดต่างๆจะคล้ายการถือผลส้มด้วยปลายนิ้ว มือจะเป็นอุ้งๆ และจะไม่ใช้ฝ่ามือกำเข้าไปที่คอตรงๆ
             

*** คอร์ดต่างๆมีชุดโน้ตที่ต่างกัน จึงมีวิธีจับที่ต่างกัน เราสามารถหาวิธีการจับคอร์ดได้จากการอ่านตารางคอร์ดใน เรียนรู้เรื่อง Chord (คอร์ด)   ที่เราเคยเขียนไว้ตอนที่ผ่านมาแล้วนะคะ


การดีดหรือการสตรัม (มือขวา)
              ตอนนี้การจับอูคูเลเล่เป็นมือซ้ายจับคอร์ด และมือขวาจับอยู่ที่รอยต่อระหว่างคอกับลำตัว ตามที่ทำในขั้นตอนการจับถืออูคูเลเล่ แต่เมื่อถึงเวลาที่เราจะดีดหรือสตรัม (Strum) ให้เราค่อยๆดึงมือขวาออกตรงๆ มาจากตำแหน่งจับ โดยให้ตำแหน่งมืออยู่บริเวณเดิมที่จับ และแขนด้านในยังคงประคองลำตัวด้านท้ายของอูคูเลเล่ไว้ ดึงให้นิ้วชี้พ้นสายออกมา โดยนิ้วชี้จะชี้เข้าหาตัวเรา ให้เราหักข้อมือขึ้นแล้วเหวี่ยงข้อมือลงผ่านสายทุกสาย สุดท้ายนิ้วจะชี้ลงพื้น เมื่อทำอย่างนี้ 1 ครั้งก็คือ การสตรัมลง 1 ครั้ง หากจะทำครั้งต่อไป ก็หักข้อมือขึ้นมา เพื่อเหวี่ยงลงแบบเดิมอีกครั้ง


นำสองมือมารวมกันเป็น การเล่นอูคูเลเล่
                การเล่นดนตรีนั้นจะมีการนับที่เรียกว่า บีท (Beat) อยู่ ในที่นี้จะเรียกว่า "นับ"  ซึ่งเหมือนเป็นชีพจร เหมือนเข็มนาฬิกาที่ดำเนินไปเรื่อยๆ โดยมีระยะห่างที่เท่าๆกัน ส่วนความเร็วก็อยู่ที่เรากำหนด มีไว้เพื่อให้เราเล่นดนตรีได้พร้อมกัน และคนฟังสามารถคล้อยตามได้ และจะมีสิ่งที่เรียกว่า "ห้อง"  ซึ่งก็คือห้วงเวลาที่ทำให้เรารู้สึกว่า นับนั้นเดินทางมาครบรอบ เมื่อเล่นครบห้องแล้วก็จะก้าวเข้าสู่ห้องต่อไป ใน 1 ห้อง จะมีกี่นับก็ได้ แต่เพลงส่วนมากกำหนดให้ 1 ห้องมี 4 นับ และในการเล่นดนตรี เราก็จะเริ่มเล่นกันด้วยการนับแบบนั้นก่อน มือขวาเรามีหน้าที่เล่นจังหวะ โดยเริ่มต้นด้วยการสตรัมลง 1 ครั้ง ต่อ 1 นับ และนับ 1 2 3 4 แทนแต่ละนับใน 1 ห้อง และการเปลี่ยนคอร์ดมักเปลี่ยนกันที่นับแรกของห้อง เราจะลองฝึกการเล่นเป็นจังหวะ โดยการเล่นคอร์ด C 1 ห้อง และ G 1 ห้อง สลับกันไปเรื่อยๆ กล่าวคือ เราเริ่มเล่นคอร์ด C ไป 4 นับ และเมื่อมาถึงนับที่ 1 ของห้องใหม่ เราต้องเล่นคอร์ด G แล้ว และเมื่อเล่นคอร์ด G ครบ 4 นับ หรือ 1 ห้องแล้ว นับแรกของห้องถัดมา เราก็ต้องมาเล่นคอร์ด C แล้ว จุดสำคัญ คือ มือขวาเราต้องสตรัมแบบดำเนินไปเรื่อยๆตามการนับ ไม่มีการหน่วงหรือหยุดของจังหวะ และเราต้องเปลี่ยนคอร์ดให้พอดีกับการขึ้นห้องใหม่


ข้อสังเกตในการเล่นเบื้องต้น
                  การจับถือมีส่วนสำคัญมากในการฝึกเล่นเบื้องต้น เราควรจับให้เล่นถนัดทุกครั้งที่เราฝึกเล่น หากรู้สึกว่า ทำไม่ได้สักที ให้กลับมามองที่ท่าจับถือในการเล่นของเรา ส่วนใหญ่ที่พลาด เพราะเราไม่ได้จับถือให้เล่นได้ง่ายตั้งแต่แรก
                 ในการเล่นแบบเป็นจังหวะ มือขวาจะสำคัญกว่ามือซ้าย หากเรายังเปลี่ยนคอร์ดไม่ทัน ให้เราสตรัมมือขวาตามจังหวะไปก่อน แล้วต่อมาค่อยๆฝึกเปลี่ยนคอร์ดให้ทัน เพราะหากเรามัวแต่เปลี่ยนคอร์ดให้เสร็จก่อนแล้วค่อยสตรัม จะทำให้จังหวะไม่ต่อเนื่องกันค่ะ

การเล่นดนตรีอูคูเลเล่

ดนตรีและองค์ประกอบของดนตรี
           ดนตรีมีส่วนประกอบหลากหลายตามการแบ่งออกตามทฤษฎีต่างๆ เช่น Melody , Harmony , Rhythm Section , Tone Color ฯลฯ แต่องค์ประกอบหลักๆของดนตรี โดยเฉพาะในการเล่นอูคูเลเล่ แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ดังนี้
1. ทำนอง (Melody) ทำนองเป็นส่วนประกอบหลักของเพลง เป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละการประพันธ์ เป็นเสียงที่ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ระดับเสียง (Pitch) และจังหวะ (Rhythm)
2. เสียงประสาน (Harmony) เสียงประสาน คือ สิ่งที่กำหนดห้วงอารมณ์ในเพลง เกิดจากทำนอง (Melody) ที่เล่นออกพร้อมๆกันมากกว่าหนึ่งเสียง หรือ เล่นไม่พร้อมกัน แต่มีช่วงเวลาที่เสียงซ้อนกันหรือประสานกัน

การเล่นอูคูเลเล่ให้เป็นดนตรี
            อูคูเลเล่เป็นเครื่องดนตรีสายที่ใช้ดีด มี 4 สาย เราจึงสามารถเล่นเสียงจากอูคูเลเล่ได้พร้อมกันมากสุดครั้งละ 4 เสียง และเล่นอูคูเลเล่ให้เป็นได้ทั้งทำนองและเสียงประสาน โดยลักษณะการเล่นทั้งสองอย่างสามารถนำมาเล่นในรูปแบบต่างๆได้ ดังนี้

  • แบบที่ 1 เล่นเป็นทำนอง
                        คือ การเล่นเฉพาะโน้ตเดี่ยวๆเป็นทำนอง การเล่นแบบนี้ เราจะได้เสียงดนตรีแบบมิติเดียว คือเป็นทำนองเปล่าๆ ค่อนข้างไม่ได้อรรถรสที่ครบถ้วน อาจใช้กับการเล่น 2 คนขึ้นไป โดยมีอูคูเลเล่ หรือ เครื่องดนตรีอื่นๆ เล่นเสียงประสานให้ อาจใช้ในการฝึกฝนเบื้องต้น หรือ การฝึกซ้อม

  • แบบที่ 2 เล่นเป็นเสียงประสาน
                        คือ เล่นเป็นโน้ตมากกว่าหนึ่งตัว การเล่นเสียงประสานส่วนใหญ่มักจะเล่นทีละ 3 เสียงขึ้นไป ทำให้เกิดคอร์ด (Chord) ซึ่งอูคูเลเล่มี 4 สาย วิธีที่เล่นง่ายที่สุดก็คือ การเล่นคอร์ด โดยการใช้นิ้วมือซ้ายกดหรือไม่กดที่เฟร็ต เพื่อให้เกิดเสียงโน้ตต่างๆในแต่ละสาย แล้วใช้นิ้วมือขวาเล่นจังหวะด้วยการดีดลงไปที่สาย โดยลากนิ้วผ่านสายต่างๆให้เสียงออกพร้อมกัน วิธีเล่นแบบนี้ เรียกว่า การสตรัม (Strum) คือ เราจะไม่ต้องสนใจมากว่านิ้วมือขวาจะถูกสายใดบ้าง แค่ดีดขึ้น หรือ ลง ให้เป็นจังหวะ การเล่นคอร์ดอาจเล่นทีละเสียง โดยการเล่นทีละสายก็ได้ โดยการเล่นแบบ Broken Chord หรือที่เรียกกันว่า ปิ๊กกิ้ง (Picking) ซึ่งความเป็นจริงแล้ว การเล่น Broken Chord ก็คือการเล่นปิ๊กกิ้งอย่างหนึ่ง โดยการจับคอร์ดแล้วดีดทีละสาย มีช่วงเวลาที่เสียงแต่ละเสียงดังขึ้นพร้อมกัน และประสานกัน การเล่น Broken Chord มีหลายรูปแบบ การเล่นแบบนี้มักใช้ควบคู่กับการร้องเพลง เล่นคู่กับอูคูเลเล่ หรือ เครื่องดนตรีที่เล่นเสียงประสานอื่นๆ

  • แบบที่ 3 เล่นแบบบรรเลงด้วยอูคูเลเล่ตัวเดียว (Ukulele Solo)
                        ปกติการเล่นดนตรีแบบบรรเลง (Instumental) คือ การเล่นด้วยเครื่องดนตรีล้วนๆ ไม่มีเนื้อร้อง หรือ คำร้อง อาจมีแต่การเล่น Ukulele Solo คือ การใช้อูคูเลเล่ตัวเดียวเล่นให้ครบองค์ประกอบ ทั้งทำนอง และเสียงประสาน โดยถือเป็นการเล่นขั้นสูง

            ในการเล่นทั้งสามแบบที่กล่าวมา แบบที่ 3 จะยากที่สุด ส่วนแบบที่ 1 ก็ค่อนข้างยาก และอาจจะใช้เวลานานในการเริ่มเล่น หลักๆก็จะเล่นแบบที่ 2 ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ง่ายกว่า และครบองค์ประกอบที่สุด เนื่องจากเราสามารถร่วมไปด้วยได้ และยังตรงกับความต้องการของผู้เริ่มเล่นอูคูเลเล่ เพราะการเล่นอูคูเลเล่ คือ การเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดที่จะเข้าสู่โลกของเสียงดนตรี

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

ตอนพิเศษ

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ มาคราวนี้ เราเอาตอนพิเศษมาเสิร์ฟ เป็นบทสัมภาษณ์ค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอูคูเลเล่นี่ล่ะ ลองไปฟังกันดู เผื่อเป็นแง่คิดให้กับแต่ละคนนะ ต้องขอขอบคุณ นายภูมิ เข็มเพ็ชร นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตด้วยค่ะ ที่มาให้ความรู้และแง่คิดดีๆเกี่ยวกับการเล่นดนตรี ขอฝากเนื้อฝากตัวคุณภูมิด้วยนะคะ ^^



เรียนรู้เรื่อง Chord (คอร์ด)

Chord (คอร์ด)
          คอร์ด คือ กลุ่มเสียงโน้ตที่เล่นออกมาพร้อมกัน หรือ กระจายเสียงต่อเนื่องกัน ส่วนใหญ่ใช้โน้ตแบบตัวเว้นตัว (Tertian Harmony)

การสร้างคอร์ดพื้นฐาน
คอร์ดมาจากตัวโน้ตในบันไดเสียง โดยใช้เปรียบเทียบกับ Major Scale ได้ดังนี้

  • Major Chord ประกอบด้วยโน้ตตัวที่ 1 , 3 , 5
  • Minor Chord ประกอบด้วยโน้ตตัวที่ 1 , b3 , 5
  • Diminished Chord ประกอบด้วยโน้ตตัวที่  1 , b3 , b5
  • Augmented Chord ประกอบด้วยโน้ตตัวที่ 1 , 3 , #5

ชื่อคอร์ด และสัญลักษณ์ (Chord Symbol)
ประกอบไปด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ และอักขระหรือสัญลักษณ์ต่างๆ ที่นำมาต่อท้าย (Suffix) โดยใช้แบบย่อเพื่อให้กระชับ เช่น

  • คอร์ด Major ไม่ต้องมีสัญลักษณ์ต่อท้าย เช่น C หมายถึง C Major
  • คอร์ด Minor ใช้ " m " หรือ " - " เป็นสัญลักษณ์ต่อท้าย เช่น Cm หรือ C- หมายถึง C Minor
  • คอร์ด Augmented ใช้ " + " เป็นสัญลักษณ์ต่อท้าย เช่น C+ หมายถึง C Augmented
  • คอร์ด Diminished ใช้ " ํ " เป็นสัญลักษณ์ต่อท้าย เช่น Cํ หมายถึง C Diminished

การอ่านคอร์ด
           การอ่านคอร์ดของอูคูเลเล่นั้นมีส่วนคล้ายกับการอ่านคอร์ดของกีต้าร์อยู่บ้าง โดยสัญลักษณ์ต่างๆ ที่อยู่บริเวณโครงสร้างคอร์ดสามารถอ่านได้ดังนี้

  • สัญลักษณ์วงกลม (o) หมายถึง การดีดสายนั้นๆ โดยที่ไม่ต้องกดสาย
  • สัญลักษณ์กากบาท (x) หมายถึง การไม่ต้องดีดที่สายนั้นๆ
  • สัญลักษณ์ 3fr , 5fr , 6fr , ... หมายถึง เฟร็ตเริ่มต้นของคอร์ดนั้นๆ โดยดูจากหมายเลขเฟร็ตที่ระบุไว้ เช่น 3fr คือ ให้เริ่มต้นจับคอร์ดนั้นที่เฟร็ต 3 
  • สัญลักษณ์แทนนัท (Nut) คือ แถบทึบสีดำด้านบนสุด หมายถึง ตารางคอร์ดนั้นเริ่มจากเฟร็ตที่ 1 
  • ตัวเลขที่อยู่ในวงกลม หมายถึง นิ้วที่ใช้ในการกดสายนั้นๆ โดยกำหนดตัวเลขแทนนิ้วมือแต่ละนิ้วดังนี้


ตารางต่อไปนี้แสดงโครงสร้างของคอร์ด ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จรูปในคีย์ C ทำให้ทราบว่าคอร์ดแต่ละคอร์ดประกอบจากโน้ตตัวที่เท่าไร และมีการเปลี่ยนแปลง หรือ เลื่อนเสียงโน้ตอย่างไรบ้าง เมื่อเทียบกับ C Major Scale 



ตารางรวมคอร์ดอูคูเลเล่เบื้องต้น 
เอาไว้ฝึกเล่นกันดูนะ ลองจับดูว่าจับถนัดกันมั้ย แต่ไม่ต้องท่องจำทั้งหมดนะ เวลาเล่นไม่ได้เล่นทุกอันหรอก แล้วในหนังสือเพลงก็จะมีคอร์ดให้ดูข้างๆ เพื่อช่วยบอกเราอยู่แล้ว แต่ถ้าใครสามารถจำได้ก็ลุยเลย เราเป็นกำลังใจให้ สู้ๆ^^







วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตัวโน้ตบน Ukulele

ตัวโน้ตบนอูคูเลเล่
ตัวโน้ตเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการเล่นเครื่องดนตรีทุกชนิด พื้นฐานของดนตรีจะมีตัวโน้ตอยู่ทั้งหมด 12 ตัว โดยเรียกชื่อทางชาร์ป (#) ได้แก่  C , C# , D , D# , E , F , F# , G , G# , A , A# , B , C หรือเรียกชื่อทาง แฟร็ต (b) ได้แก่ C , Db , D , Eb , E , F , Gb , G , Ab , A , Bb , B , C สำหรับอูคูเลเล่นั้นมีตัวโน้ตคามสายและเฟร็ตต่างๆ ดังนี้

โน้ตบนเฟร็ตบอร์ดของอูคูเลเล่

การตั้งสาย Ukulele
อูคูเลเล่ เป็นเครื่องดนตรีสากลที่ใช้ระบบโน้ตแบบ โครมาติก (Chromatic) สายต่างๆจะตั้งเป็นโน้ต ดังนี้


อูคูเลเล่จะต่างกับเครื่องดนตรีประเภทสายอื่นๆ คือ สายสุดท้ายหรือสาย 4 จะตั้งเป็นโน้ตที่สูงกว่าสาย 3 คือ สาย 4 จะตั้งเป็นโน้ต G ที่ใกล้เคียงกับโน้ต A ที่สาย 1 การที่เราใส่สายอูคูเลเล่เช่นนี้ว่ากันว่าจะทำให้เหมาะกับการเล่นสตรัม (Strum หรือการดีด) แต่ทั้งนี้ก็มีการนำสายที่ให้เสียง G ต่ำ หรือที่เรียกว่าการใส่สายแบบ Low G มาใช้ในอูคูเลเล่เช่นกัน การใส่สายดังกล่าวจะทำให้สาย 4 ให้เสียง G ที่ต่ำ กลายเป็นเสียงที่ต่ำที่สุดในทั้งหมด 4 สายของอูคูเลเล่ การใส่สายแบบ Low G นี้ เหมาะกับการเล่นปิ๊กกิ้ง (Picking) คือ การเลือกเล่นทีละสาย หรือ มากกว่านั้น

รู้จักกับโน้ตสากล
           โน้ตสากลจะใช้แทนดัวยอักษรภาษาอังกฤษ เพียง 7 ตัวเท่านั้น คือ A B C D E F G แต่จะมีโน้ตจริงๆทั้งหมด 12 ตัว คือ จะมีโน้ตคั่นกลางระหว่างโน้ตพวกนี้ด้วย ยกเว้นระหว่าง B กับ C และระหว่าง E กับ F ซึ่งเขียนได้ 2 แบบ ดังนี้
A-A#-B-C-C#-D-D#-E-F-F#-G-G#

A-Bb-B-C-Db-D-Eb-E-F-Gb-G-Ab

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าโน้ตที่อยู่ระหว่างกลางเหล่านี้เป็นโน้ตตัวเดียวกัน แต่มีได้ 2 ชื่อ โดยที่มีเครื่องหมายบางอย่างกำกับอยู่ เครื่องหมายเหล่านี้เรียกว่า เครื่องหมายแปลงเสียง นั่นเอง

เครื่องหมายแปลงเสียง
ใช้บังคับโน้ตให้มีเสียงสูงขึ้นหรือต่ำลง ดังนี้

Sharp (ชาร์ป)  ทำให้เสียงสูงขึ้น 1/2 เสียง
Flat (แฟร็ต)  ทำให้เสียงต่ำลง 1/2 เสียง
Double Sharp (ดับเบิลชาร์ป)  ทำให้เสียงสูงขึ้น 1 เสียง
Double Flat (ดับเบิลแฟร็ต)  ทำให้เสียงต่ำลง 1 เสียง
Natural (เนเจอรัล)  ทำให้เสียงกลับเป็นปกติ ถ้ากำกับโน้ตตัวไหน ก็กดโน้ตตัวนั้นเป็นตัวปกติ

ตัวอย่างเครื่องหมายแปลงเสียงบนโน้ต
1. โน้ต A จะอยู่บนสายที่ 2 เฟร็ตที่ 5
2. ถ้าใส่เครื่องหมาย # เป็น A# ก็จะได้โน้ต A# อยู่บนสายที่ 2 เฟร็ตที่ 6 หรือก็คือ เลื่อนนิ้วเข้าหาลำตัวอูคูเลเล่ 1 เฟร็ต
3. ถ้าใส่เครื่องหมาย b เป็น Ab จะได้โน้ต Ab อยู่บนสายที่ 2 เฟร็ตที่ 4 หรือก็คือ เลื่อนนิ้วออกไปทางหัวอูคูเลเล่ 1 เฟร็ต
4. ในกรณีที่เราจับคอร์ดที่ต้องกดทุกสาย เช่น คอร์ด Gm ที่เฟร็ตที่ 5 แล้วเราไปเจอคอร์ด G#m ในเพลง เราก็จับคอร์ดเหมือน Gm แต่เลื่อนนิ้วทั้งหมดมาทางลำตัว 1 เฟร็ต หรือก็คือ เริ่มจับคอร์ดจากเฟร็ตที่ 6 นั่นเอง


หมายเหตุ : การเลื่อนนิ้วให้ใช้กับคอร์ดที่กดทุกสายเท่านั้น


วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

ก่อนมาเป็น Ukulele

กำเนิดอูคูเลเล่
             Ukulele หรือ อูคูเลเล่ เป็นเครื่องดนตรีที่มีต้นกำเนิดมาจากฮาวาย ในช่วงคริสศตวรรษที่ 19 หรือเมื่อประมาณ 150 ปีก่อน โดยเริ่มจากนักดนตรีโปรตุเกสคนหนึ่งเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังชายฝั่ง Hanolulu ของฮาวาย และเอาเครื่องดนตรีคล้ายกับกีต้าร์จิ๋ว เรียกว่า Cavaquinho มาด้วย จนสร้างความสนใจให้กับชาวพื้นเมืองฮาวายในสมัยนั้น และในที่สุดก็ได้มีการดัดแปลงเครื่องดนตรีจากโปรตุเกสดังกล่าวให้กลายเป็น Ukulele ใช้สำหรับให้ความบันเทิงและสนุกสนานในหมู่เกาะฮาวาย และมันก็ถูกนำไปใช้กันอย่างกว้างขว้างในหมู่เกาะนับตั้งแต่นั้นมา จนเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1950 ได้มีการนำ Ukulele ไปเล่นกันทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างมากมาย(โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น) จึงทำให้ Ukulele จากเครื่องดนตรีพื้นเมืองฮาวายกลายมาเป็นเครื่องดนตรีสากลในที่สุด

ส่วนประกอบของ Ukulele 
แบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ ส่วนหัว ส่วนคอ และส่วนลำตัว ดังนี้

1. ส่วนหัวของอูคูเลเล่(Head) ประกอบด้วย
    - Tuners หรือลูกบิด เป็นส่วนที่ใช้ปรับสาย เพื่อตั้งเสียงของอูคูเลเล่ให้ถูกต้อง
    - Nut เป็นส่วนที่อยู่ระหว่างรอยต่อของส่วนหัวกับตัวเฟร็ตบอร์ด(Fretboard) มีลักษณะเป็นแท่งยาว และมีรอยบาก 4 ช่อง ที่มีขนาดพอดีกับสายแต่ละเส้น ใช้สำหรับพาดสายให้ตรงตามแนวของคอ และแบ่งระยะห่างระหว่างสาย
2. ส่วนคอของอูคูเลเล่(Neck) ประกอบด้วย
    - Fretboard / Fingerboard เป็นไม้แผ่นบางๆที่ติดอยู่บนคออูคูเลเล่ยาวไปจนถึงลำตัว เป็นส่วนที่ใช้สำหรับกดสาย
    - Frets เป็นเส้นโลหะบางๆที่พาดตามแนวขวางบนเฟร็ตบอร์ด เมื่อกดสายที่ตำแหน่งต่างๆบนเฟร็ตบอร์ด สายจะไปพาดอยู่บนเฟร็ต ทำให้ระดับเสียงเปลี่ยนไป
    - Position Markers เป็นจุดหรือสัญลักษณ์เล็กๆที่อยู่บนเฟร็ตบอร์ด ใช้บอกตำแหน่งของเฟร็ตบอร์ดว่าเป็นช่องที่เท่าไร
3. ส่วนลำตัวของอูคูเลเล่(Body) ประกอบด้วย
    - Sound Hole ช่องเสียงหรือโพรงเสียง เป็นส่วนที่เสียงจะดังก้องออกมาจากในลำตัวอูคูเลเล่
    - Saddle ชิ้นส่วนสำหรับพาดสาย ทำหน้าที่เหมือนกับนัท(Nut) โดยอยู่ที่ปลายสายด้านตรงข้าม
    - Bridge ส่วนที่ใช้ยึดแซดเดิล(Saddle) กับลำตัวอูคูเลเล่ มักทำมาจากไม้เนื้อแข็ง เพื่อความทนทาน
    - Strings สายอูคูเลเล่ มักทำมาจากเส้นเอ็น
              ส่วนประกอบของอูคูเลเล่มีทั้งหมดเท่านี้ ต่อไปก็มาดูวีดีโอส่วนประกอบอูคูเลเล่ที่เราทำไว้นะ ไว้ประกอบความเข้าใจ เพื่อความชัดเจนตรงกันนะ :)

ส่วนประกอบของอูคูเลเล่



วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

เริ่มต้นทำความรู้จัก Ukulele กันเถอะ



Ukulele (อูคูเลเล่)
             Ukulele หรือ อูคูเลเล่ เป็นที่รู้จักกันดีในประเทศไทย ซึ่งกำลังฮิตมากๆในตอนนี้ มีศิลปินหลากหลายท่านในประเทศไทยที่นำอูคูเลเล่มาใช้ในเพลงของตนเอง อูคูเลเล่นั่นมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ฟังสบายๆราวกับอยู่ริมทะเลยังไงยังงั้น ukulele นั่นออกเสียงได้หลายแบบ ถ้าคนไทยก็อูคูเลเล่ แต่ถ้าชาวอเมริกันจะเรียกว่า ยู คะ เล ลี่ หรือจะเรียกกันสั้นๆว่า อู๊ค ก็ได้ค่ะ

เริ่มต้นทำความรู้จัก Ukulele กัน
            Ukulele นั่นมาจากภาษาฮาวายเอี้ยน เป็นการผสมคำ 2 คำ คือ uku แปลว่า ของขวัญหรือรางวัล ส่วน lele แปลว่า การได้มา ukulele จึงมีความหมายว่า ของขวัญที่ได้รับมา
ukulele เป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็กพกพา มีความสวยโดดเด่นสะดุดตา และเพิ่มความเก๋ให้กับผู้พกพาอีกด้วย และด้วยขนาดที่เล็กจิ๋วจึงเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆจำนวนมาก เครื่องดนตรีชนิดนี้นั้นมีมานานแล้วตั้งแต่ยุคคริสศตวรรษที่ 19 หรือ ประมาณ 150 ปีก่อน แม้แต่ศิลปินชื่อดังอย่าง Elvis Presley ก็เคยใช้อูคูเลเล่ในเพลงของเขาด้วยเช่นกัน

ขนาดของ Ukulele



อูคูเลเล่ เป็นเครื่องดนตรีบรรเลง 4 สาย โดยใช้สายไนล่อน มีทั้งหมด 4 ขนาดด้วยกัน
1.soprano (standard size) มีขนาดความยาว 21" นิ้ว 
2) concert มีขนาดความยาว 23" นิ้ว 
3) tenor มีขนาดความยาว 26" นิ้ว 
4) baritone มีขนาดความยาว 30" นิ้ว
             ถ้าคนไหนอยากเล่นอูคูเลเล่ ก็ลองไปร้านดนตรีดูนะคะ ไปลองเลือกดู ฟังเสียงว่าเราชอบเสียงแบบไหน แล้วขนาดแบบไหนที่เหมาะกับเรา ลองเล่นแล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้าง ลองมาแชร์ประสบการณ์กันนะคะ ส่วนเราเล่นอูคูขนาด concert ค่ะ คราวหน้าเดี๋ยวเราจะเอามาให้ดูนะ ^^

คลิปเพลง The show ของ lenka ค่ะ